วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การดูแลรักษานาฬิกาต (ภาค 2)

การทำความสะอาดนาฬิกาข้อมือหลังการใช้งาน
โดยปกติแล้วนาฬิกาข้อมือที่ผ่านการใช้งานจะมีคราบเหงื่อ น้ำ หรือ สิ่งสกปรกอื่นสะสมอยู่ที่สายนาฬิกา และตัวเรื่อนนาฬิกา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการผุกร่อน หรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ โดยเฉพาะตามข้อต่อระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ เช่น ระหว่างตัวเรื่อนนาฬิกาและฝาหลัง หรือระหว่าข้อต่อของสายนาฬิกา
ดังนั้น หลังจากการใช้งานควรที่จะทำความสะอาดนาฬิกา ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น

ข้อแนะนำในการทำความสะอาดตัวเรือนนาฬิกา
1. ควรล้างทำความสะอาดตัวเรื่อนด้วยแชมพูอ่อนๆ หรือน้ำสะอาด โดยอาจใช้แปรงสีฟันช่วยขัด บริเวณที่เป็นซอก ข้อต่อ ต่างๆ แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
2. เช็ดด้วยผ้าแห้งที่อ่อนนุ่ม
3. ใช้ไดร์เป่าลมร้อน โดยตั้งอุณหภูมิไม่สูงมากนัก เป่าไล่ความชื้นอีกครั้ง โดยบเฉพาะบริเวณที่เป็นข้อต่อต่างๆ (ใช้นาฬิกาวางบนมือ แล้วใช้ลมร้อนเป่า ถ้ารู้สึกว่ามือข้างที่วางนาฬิการ้อนให้หยุดเป่า หรือ ลดอุณหภูมิลง)

หมายเหตุ
1. กรณีที่ตัวเรือนทำด้วยพลาสติก ห้ามใช้ลมร้อนเป่าโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ตัวเรือนเสียรูป หรืออุปกรณ์ประกอบเสียหายได้
2. กรณีนาฬิกาที่ไม่มีคุณสมบัติการกันน้ำ ให้ทำความสะอาด โดยใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ แล้วเช็ด

ข้อแนะนำในการทำความสะอาดสายนาฬิกา

1. กรณีที่เป็นสายโลหะ ให้ทำความสะอาดด้วยวิธีการเดียวกับ การทำความสะอาดตัวเรือนนาฬิกา
2. กรณีที่เป็นสายหนัง ให้ใช้ผ้านุ่ม ชุบน้ำหมดๆ แล้วเช็ดทำความสะอาด
3. กรณีที่เป็นสายยาง หรือ พลาสติก สามารถล้างทำความสะอาดได้ แต่ห้ามใช้ลมร้อนเป่าโดยเด็ดขาด
กรณีที่นาฬิกาเปียกน้ำ ให้เช็ดทำความสะอาดตามข้อแนะนำข้างต้น ก่อนที่จะทำการเก็บหรือวางไว้

การเก็บรักษานาฬิกา
ข้อแนะนำในการเก็บรักษานาฬิกา
1. ในกรณีที่นาฬิกาเปียกน้ำ ควรที่จะทำความสะอาดตามวิธีการก่อนที่จะทำการเก็บรักษา
2. ไม่ควรวางนาฬิกาไว้ใกล้กับแหล่งกำเนิดสนามแม่เหล็ก เช่น บริเวณหลังทีวี หรือ ใกล้โทรศํพท์มือถือ เพราะอาจทำให้นาฬิกาทำงานผิดพลาด โดยเฉพาะนาฬิกาประเภท Analog Quartz (ควอทซ์เข็ม)
3. ไม่ควรเก็บนาฬิกาไว้ในสถานที่ ที่มีความชื้นสูง หรือ ความร้อนสูง


เพื่อนาฬิกาที่คุณรักจะอยู่คู่คุณไปอีกนานแสนนานครับผม

วิธีการดูแลรักษานาฬิกาครับ

นาฬิกาจะมีความแตกต่างในการกันน้ำที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป อาจจะแล้วแต่รุ่นแต่ละรุ่น จุดประสงค์การใช้งาน ถ้าเป็นนาฬิกาแนว Dress อาจจะกันน้ำได้แค่ 30 เพราะคงไม่มีใครเอานาฬิกาสายหนังลงไปว่ายน้ำแน่ๆ หรือถ้าเป็นรุ่นสามารถดำน้ำได้ก็จะมีขีดความสามารถในการดำน้ำลึกที่แตกต่างกันด้วย

ตาราง ข้างล่างคือคำแนะนำการใช้งานของนาฬิกา ที่เหมาะสมกับระดับการกันน้ำในระดับต่างๆที่ระบุไว้ตามสเป็คของนาฬิกา ซึ่งยังคงต้องขึ้นกับความน่าเชื่อถือของแต่ละ Brand ด้วย น่าจะเป็นแนวทางสำหรับนักสะสมนาฬิกาที่จะได้รู้ขีดความสามารถในการกันน้ำของ นาฬิกาตัวเองได้

สำหรับนาฬิกาที่ไม่มีระบบกันน้ำ

หากนาฬิกาของท่านไม่ปรากฏเครื่องหมาย “WATER RESISTANT” บนฝาหลัง (และบนหน้าปัด สำหรับบางรุ่น) แสดงว่านาฬิกาของท่านไม่มีระบบกันน้ำ และต้องควรดูแลอย่าให้นาฬิกาสัมผัสถูกน้ำ ซึ่งอาจทำให้เครื่องที่อยู่ภายในเกิดความเสียหายได้ ในกรณีที่นาฬิกาของท่านเปียกน้ำ แนะนำให้ท่านนำนาฬิกาดังกล่าวไปตรวจเช็คที่ศูนย์บริการทันที

สำหรับนาฬิกาที่มีระบบกันน้ำ (ระดับ 3 bar)

หากนาฬิกาของท่านปรากฏเครื่องหมาย “WATER RESISTANT” บนฝาหลัง (และบนหน้าปัด สำหรับบางรุ่น) แสดงว่านาฬิกาของท่านมีระบบกันน้ำ ทั้งนี้หากเป็นนาฬิกากันน้ำ ระดับ 3 bar นาฬิกาจะสามารถสัมผัสถูกน้ำได้ เช่น ล้างมือ ถูกฝน เป็นต้น แต่นาฬิกาจะไม่ได้ถูกออกแบบไว้สำหรับใส่ว่ายน้ำหรือดำน้ำ

สำหรับนาฬิกาที่มีระบบกันน้ำ (ระดับ 5 bar)

หากนาฬิกาของท่านปรากฏเครื่องหมาย “WATER RESISTANT” บนฝาหลัง (และบนหน้าปัด สำหรับบางรุ่น) แสดงว่านาฬิกาของท่านมีระบบกันน้ำ ทั้งนี้หากเป็นนาฬิกากันน้ำ ระดับ 5 bar นาฬิกาจะสามารถสวมใส่ขณะทำการว่ายน้ำ (ในสระ), เล่นเรือใบ,และ ใส่อาบน้ำ แต่นาฬิกาจะไม่ได้ถูกออกแบบไว้สำหรับใส่ดำน้ำและดำน้ำลึก

สำหรับนาฬิกาที่มีระบบกันน้ำ (ระดับ 5 bar/15 bar/20 bar)*

หากนาฬิกาของท่านปรากฏเครื่องหมาย “WATER RESISTANT” บนฝาหลัง (และบนหน้าปัด สำหรับบางรุ่น) แสดงว่านาฬิกาของท่านมีระบบกันน้ำ ซึ่งถูกออกแบบและผลิตมาให้มีการกันน้ำระดับ 5 bar/10 bar/15bar โดยทั้งนี้สามารถสวมใส่นาฬิกาขณะว่ายน้ำและดำน้ำระดับตื่นๆ แต่ไม่สามารถใส่เพื่อดำน้ำลึกแบบ Scuba ซึ่งเป็นนาฬิกาดำน้ำลึกแทน การใช้นาฬิกาที่มีระดับการกันน้ำ 5-20 bar ขณะอยู่ในน้ำนั้น และต้องแน่ใจว่าเม็ดมะยม อยู่ในตำแหน่งล็อค เพื่อป้องกันน้ำเข้าทางเม็ดมะยม ห้ามดึงเม็ดมะยมขณะที่นาฬิกาเปียกน้ำหรืออยู่ในน้ำ ถ้าใช้ในน้ำทะเลต้องทำนาฬิกาให้แห้งทันที

หมายเหตุ แรงดันในมาตรวัดระบบ bar จะเป็นระดับแรงดันที่ได้จากการทดสอบ ซึ่งไม่ใช่การทดสอบดำน้ำลึกจริง เพราะ การเคลื่อนไหวในการดำน้ำจะมีแรงดันที่เพิ่มขึ้นกว่าความลึกที่วัด ดังนั้นจึงควรพิจารณาในการสวมใส่นาฬิกาขณะทำการดำน้ำลึก

ฉะนั้นเวลาจะนำนาฬิกาไปใช้อะไร ว่ายน้ำ ดำน้ำ ควรตรวจสอบนาฬิกาของท่านก่อนนะครับ เพื่อไม่เกิดความเสียหายต่อนาฬิกาที่ท่านรักครับ

นาฬิกาแบรนด์ดังที่มีตำนานคู่กับมวลมนุษยชาติ

ประวัตินาฬิกาแบรนด์นี้ไม่ธรรมดาเลยครับ อยากแบ่งปันความรู้ที่มี ลองดูครับว่าเค้าทำอะไรบ้าง

ประวัตินาฬิกา Omega

Omega ถือกำเนิดในปี 1848 ที่ La Chaux-de-Fonds โดยนักประดิษฐ์หนุ่มอายุเพียง 23 ปี ชื่อ Louis Brandt.
Louis Brandt ได้ประกอบนาฬิกาพกซึ่งใช้ชิ้นส่วนของนักประดิษฐ์ในท้องถิ่นและผลงานของเขาได้ค่อยๆสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จัก.

Louis Brandt ได้จากไปในปี 1879 โดยมีบุตรชาย 2 คน คือ Louis Paul และ César Brandt เป็นผู้รับช่วงกิจการ และได้ย้ายบริษัทไปที่ Bienne

ในดือนมกราคม 1880 เนื่องจากความพร้อมมากกว่าในด้านกำลังคน การติดต่อสื่อสาร และพลังงาน โดยเริ่มแรกย้ายไปโรงงานเล็กๆในเดือนมกราคม และได้ซื้อตึกทั้งหลังในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน.

2 ปีต่อมาได้ย้ายไปที่ Gurzelen district of Bienne ซึ่งสำนักงานใหญ่ยังคงตั้งอยู่ที่นี่ถึงปัจจุบัน.

ทั้ง Louis-Paul และ César Brandt ได้ตายพร้อมกันในปี 1903 ได้ทิ้งบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาสวิสที่ใหญ่ที่สุด ด้วยยอดกำลังการผลิตนาฬิกา 240,000 เรือนต่อปี และพนักงาน 800 คน ไว้ในการบริหารของกลุ่มคนหนุ่ม 4 คน ซึ่งผู้ที่อาวุโสที่สุดก็คือ Paul-Emile Brandt มีอายุเพียง 23 ปี

ด้วยความยากลำบากอันเกิดขึ้นเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 OMEGA ได้ตัดสินใจรวมกิจการกับ Tissot ตั้งแต่ 1925 จนถึง 1930 ภายใต้ชื่อ SSIH.

ในช่วงทศวรรษ 70 SSIH ได้กลายเป็น ผู้ผลิตนาฬิกาสวิสอันดับหนึ่งและเป็นอันดับ 3 ของโลก.
จนกระทั่งช่วงวิกฤตทางการเงินและเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงในระหว่าง 1975 ถึง 1980,SSIH ได้ถูกซื้อกิจการโดยแบงก์ในปี 1981. ในปี 1985 ธุรกิจได้ถูกควบกิจการโดยกลุ่มนักธุรกิจเอกชนกลุ่มหนึ่งภายใต้การบริหารของ Nicolas Hayekและได้เปลี่ยนชื่อเป็น SMH , Societe suisse de microelectronique et d'horlogerie, กลุ่มใหม่นี้ได้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว และเติบโตเป็นผู้ผลิตแนวหน้าของโลก.

ในปี 1998 ชื่อของ Swatch Group ได้ถูกเรียกขาน และได้รวมเอา Blancpain และ Breguet เข้ามาร่วมด้วย และแน่นอนชื่อของ OMEGA ก็ยังคงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่สร้างชื่อเสียงที่สุดและเป็นแบรนด์สำคัญของกลุ่ม

และนี่คือสิ่งที่ทำให้นาฬิกาแบรนด์นี้เป็นที่รู้จักมากที่สุด

First watch on the moon

รุ่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Omega ก็คือ Omega Speedmaster โดยรุ่นแรกที่ผลิตออกมาคือรุ่น CK2915 ในปี 1957 และได้ผลิต speedmaster ออกมาเรื่อยๆจนถึงวันหนึ่งในช่วงต้นทศวรรษ 60 ในเวลานั้น NASA กำลังดำเนินโครงการอวกาศ MERCURY และก็กำลังจะเริ่มต้นโครงการ GEMINI หรือการส่งคนหนึ่งคู่ ออกไปโคจรรอบโลกซึ่งโครงการ Mercury ที่ NASA กำลังดำเนินอยู่นั้นเป็นการปฏิบัติภารกิจภายในยาน โดยนักบินถูกส่งไปโคจรรอบโลก ส่วน ภารกิจ Gemini นั้น จะมีการส่งคนออกไปนอกยานเพื่อลอยไปลอยมา และทำการทดลองต่างๆ ดังนั้น NASA จึงเกิดความต้องการที่จะจัดหานาฬิกาเพื่อใช้ในโครงการอวกาศต่างๆต่อไป โดยนาฬิกาที่ว่าจะต้องมีระบบจับเวลาเพื่อถูกใช้สำรองในกรณีที่ระบบเวลาหลักล้มเหลว นาฬิกาที่ว่าจะต้องทนต่อทุกสภาวะ ทั้งความกดดันอากาศ สภาพสุญญากาศ อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงจากติดลบไปเป็นร้อยองศาเพียงเคลื่อนข้ามจากใต้เงาไปสู่แสงแดด ดังนั้นในปี 1962 NASA จึงได้ส่งพนักงานจัดซื้อของตนออกไปหาซื้อนาฬิกาจับเวลามาอย่างละเรือนสองเรือนเพื่อใช้ในการทดสอบแบบไม่เป็นทางการ การจัดหาก็ทำอย่างง่ายๆ คือให้เจ้าหน้าที่ของตนไปที่ร้านขายนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองที่สำนักงานใหญ่ของตนตั้งอยู่ก็คือ Houstan รัฐ Texas ห้างดังกล่าวชื่อ Corrigan ซึ่งในปัจจุบันร้านนี้ก็ยังคงเป็นตัวแทนจำหน่ายของ Omega อยู่ หลังจากซื้อมาแล้ว Nasa ก็ได้วิเคราะห์นาฬิกาต่างๆและนำมาลองใช้ในโครงการ Mercury จนได้ไอเดียคร่าวๆแล้ว ในปี 1964 Nasa จึงกำหนดข้อต้องการในการจัดซื้อนาฬิกาต่างๆมาทดสอบเพื่อทำการใช้ในโครงการอวกาศ Gemini และ Apollo ใบขอสั่งซื้อได้ถูกส่งไปยังบริษัทต่างๆเช่น Elgin, Benrus, Hamilton, Mido, Luchin Picard, Omega, Bulova, Rolex, Lonngines, Gruen โดยมีข้อกำหนดดังต่อไปนี้

1. ให้ส่งมอบไม่เกินวันที่ 21/10/1964
2. ต้องเดินผิดพลาดไม่เกิน 5 วินาทีต่อ 24 ชั้วโมง จะยิ่งดีถ้าเดินผิดพลาดไม่เกิน 2 วินาทีต่อวัน
3. ต้องกันแรงดันได้ตั้งแต่ แรงดันน้ำที่ 50 ฟุต จนถึงสุญญากาศที่ 10
^ -
5 มม ปรอท
4. หน้าปัดต้องอ่านง่ายในทุกสภาวะ โดยเฉพาะภายใต้แหล่งกำเนิดแสงที่เป็นสีแดงหรือขาว อย่างต่ำๆต้องมองเห็นภายใต้แสงเทียนที่ระยะ 5 ฟุต ในสภาวะแสงจ้าหน้าปัดไม่ควรไม่มีแสงสะท้อน ถ้าจะให้ยิ่งดีหน้าปัดควรมีสีดำ
5. หน้าปัดต้องแสดง วินาที 60 วินาที วงนาที 30 นาที และวงชั่วโมง 12 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
6. นาฬิกาต้องกันน้ำ กันกระแทก กันแม่เหล็ก กระจกหน้าปัดต้องต้องไม่คมและไม่กระจายเป็นเศษๆเวลาแตก
7. นาฬิกาที่จัดหาจะเป็นไขลาน ออโต หรือใช้ระบบไฟฟ้าก็ได้ แต่ต้องเอามือหมุนขึ้นลานได้
8. นาฬิกานี้บริษัทที่จำหน่ายต้องมีรับประกันเป็นเวลาอย่างต่ำ 1 ปี

จากสเป็คจะเห็นได้ว่า Nasa อาจได้ลองใช้นาฬิกาหลายๆยี่ห้อแล้วติดใจใน Omega เพราะสเป็คที่ออกมาเข้ากับOmega ทุกอย่าง ในขณะนั้นยังไม่มีนาฬิกาจับเวลาแบบ auto หรือใช้ไฟฟ้าออกมา และบางบริษัทก็ได้ปฎิเสธที่จะส่งนาฬิกาให้เนื่องจากว่าตนไม่ได้ผลิตนาฬิกาที่ตรงกับข้อกำหนดดังกล่าว การทดสอบที่ Nasa จัดขึ้นมาก็แบ่งเป็นชุดๆ หลายๆขั้นตอน พอสิ้นสุดการทดสอบแต่ละครั้ง นาฬิกาแต่ละเรือนก็จะถูกเช็คอย่างละเอียด ถ้าเดินไม่ตรงมากๆ ไขลานไม่ได้ จับเวลาไม่ได้ น้ำเข้า หรือชิ้นส่วนพัง ก็จะถูกคัดออกจากการทดสอบ

การทดสอบหฤโหด ได้แบ่งเป็นช่วงๆดังนี้ ระหว่างการทดสอบในแต่ละช่วง นาฬิกาก็จะถูกตรวจว่ายังทำงานปกติหรือไม่
1. เข้าห้องอบที่อุณหภูมิ 71
C 48 ชั่วโมง แล้วต่อด้วย 93 C 30 นาที ปรับความดันไว้ที่ 0.35 ATM
ความชื้น 15%
2. อุณหภูมิ -18
C
4 ชั่วโมง
3. ที่สุญญากาศ 10
^ -6 ATM เข้าห้องอบลดอุณหภูมิจาก 71 C ลงมาที่ -18 C ในเวลา 45 นาที และเพิ่มกลับไปที่ 71 C
ในอีก 45 นาที ทำแบบนี้วนไปวนมา 15 รอบ
4. เข้าตู้อบความชื้นสูง 95% เป็นเวลา 240 ชั่วโมง อุณหภูมิในห้องทดสอบเปลี่ยนไปมาระหว่าง 20 - 71
C
ไอน้ำไม่เป็น กรดหรือด่าง
5. เข้าห้องอบ
Oxygen 100% ที่แรงดัน 0.55 ATM เป็นเวลา 48 ชั่วโมงที่อุณหภูมิ 71 C
ถ้ามีรอยใหม้ เกิดแก๊สพิษลอยออกมา หรือยางเสื่อมสภาพถือว่าสอบไม่ผ่าน
6. โดนแรงเหวี่ยง 40
G (ความเร่ง) ครั้งละ 11 Millisecond
หกทิศทาง (คล้ายๆกับเหวี่ยงนาฬิกาแรงๆมากๆ เร็วมากๆ)
7. ความเร่งจาก 1
G ไป 7.25G
ในเวลา 333 วินาที (ลักษณะคล้ายๆยิงจรวดขึ้นฟ้า)
8. เข้าห้องสุญญากาศแรงดัน 10
^ -6 ATM อีก 90 นาทีที่ 71 C และอีก 30 นาทีที่ 93 C

9. แรงดันอากาศสูง 1.6
ATM
เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
10. เข้าเครื่องเขย่า 30 นาที ที่ความถี่เปลี่ยนไปมาระหว่าง 5 - 2000 รอบต่อวินาที และที่ 5 รอบต่อวินาทีต่ออีก 15 วินาที แรงเขย่าอย่างต่ำๆ 8.8
G (
เหมือนเขย่าแรงๆช้ามั่ง เร็วมั่ง)
11. โดนยิงคลื่นเสียงที่ดัง 130
dB
เป็นเวลา 30 นาที โดยใช้เสียงทุกช่วงความถี่ที่คนได้ยิน
หลังการทดสอบ
Rolex หยุดเดินสองครั้ง 1 และเข็มงอพันเข้าหากันในตู้อบความร้อน เลยถูกคัดออกจากการทดสอบ ส่วน Longines นั้นกระจกหลุดร่วงออกจากตัวเรือน เปลี่ยนตัวใหม่เข้า test ต่อก็ยังร่วงอีกเลยสอบตกไปตามๆกัน ที่เหลือรอดมาได้คือ Omega Speedmaster ซึ่งหลังจากผ่านการทดสอบแล้ว สูญเสียความเที่ยงตรงในการทดสอบความเร่งและทดสอบสูญญากาศ พรายน้ำที่หน้าปัดมีรอยไหม้แต่อย่างอื่นปกติ ซึ่งเป็นที่พอยอมรับกันได้ Omega จึงผ่านการทดสอบและได้รับการบรรจุให้เป็น อุปกรณ์หลักในโครงการอวกาศ Gemini และ Apollo โดยเริ่มจากโครงการ Gemini
3
ต่อมาปี 1965
Mission Gemini 4 Edward White ก็ได้ใช้ Omega Speedmaster ในการจับเวลาการลอยไปลอยมาในอวกาศ (Space walk)
ของตน
ดังนั้นในปี 1966
Omega จึงได้เพิ่มคำว่า PROFESSIONAL ต่อท้ายคำว่า Speedmaster บนหน้าปัดเพื่อเฉลิมฉลองการยอมรับจาก Nasa
ให้ใช้ในโครงการอวกาศของตน
ต่อมา มีแรงกดดันจากทำเนียบขาว เนื่องจากทางผู้ผลิตนาฬิกาอเมริกันไม่พอใจที่มีการใช้นาฬิกาสวิสในโครงการอวกาศของอเมริกัน และโครงการส่งคนไปบนดวงจันทร์ ทาง
Nasa จึงได้มีการตอบกลับไปพร้อมผลทดสอบว่าได้ทำการทดสอบแล้วพบว่า นาฬิกาที่ผลิตในประเทศไม่ผ่านการทดสอบนี้

และแล้วในปี 1969 มนุษย์กลุ่มแรกก็ถูกส่งไปยังดวงจันทร์พร้อมด้วย Omega Speedmaster ภายใต้ภารกิจที่ชื่อ Apollo 11 ภารกิจนี้มีนักบินด้วยกันสามคนคือ Buzz Aldlin, Niel ArmStrong และ Michael Collins โดยสองคนแรกลงไปใน Lunar Module เพื่อร่อนลงบนดวงจันทร์ ส่วน Michael Collins ต้องอยู่บนยานแม่ซึ่งโคจรอยู่เหนือดวงจันทร์ ก่อนการแยกยาน นาฬิกาหลักบนยานแม่เกิดขัดข้อง Niel Armstrong จึงต้องทิ้งนาฬิกาของตนไว้บนยานแม่เพื่อใช้สำรองแทนเครื่องที่พัง ดังนั้นคนที่ใส่นาฬิกาลงไปบนดวงจันทร์คนแรกไม่ใช่ Niel Armstrong แต่เป็น Buzz Aldlin นาฬิกาเรือนถูกใช้จับเวลาที่นักบินทั้งสองปฎิบัติการอยู่ภายนอกยานบนดวงจันทร์ นี่เป็นที่มาของตำนาน The First Watch worn on the moon น่าเสียดายอย่างยิ่งตรงที่ว่าเมื่อ Buzz Aldlin กลับมาถึงโลกแล้ว ทรัพย์สินเครื่องใช้ต่างๆต่างก็ถูกขโมย หายไปรวมทั้งนาฬิกา Omega Speedmaster เรือนแรกที่มนุษย์โลกสวมบนดวงจันทร์ด้วย ปีต่อมา Mission Apollo 13 Omega Speedmaster Professional ก็ได้ปฏิบัติภารกิจสำคัญอีกครั้งใน Mission Apollo 13 ซึ่ง Nasa ได้ทำการส่งคนไปลงดวงจันทร์อีก ระหว่างทางถัง oxygen ของยานได้เกิดระเบิดขึ้นมาทำให้สูญเสียแหล่งกำเนิดไฟฟ้าในยานทั้งหมด นักบินต้องเอาชีวิตรอดโดยการนำยานเข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์และใช้แรงเหวี่ยงของดวงจันทร์ผลักให้ยานพุ่งกลับสู่โลก การทำงานทำได้โดยติดขัดเพราะมีไฟฟ้าเพียงแค่พอหล่อเลี้ยงอุปกรณ์สื่อสารเท่านั้น เครื่องมือจับเวลาไฟฟ้าประจำยานล้มเหลวทั้งหมด ดังนั้นนักบินจึงต้องใช้นาฬิกา Speedmaster จับเวลาการจุดระเบิดของเครื่องสร้างแรงขับดัน เพื่อบังคับทิศทางยานให้พุ่งกลับสู่โลก ใครเป็นเจ้าของ Speedmaster และได้ดูหนัง เรื่อง Apollo 13 จะภูมิใจกับนาฬิกาของตนมาก เพราะมีฉากหนึ่งที่ผู้การ Jim Lowell ได้ใช้นาฬิกา Speedmaster จับเวลาอย่างชัดเจน
ปี 1975 มีโครงการอวกาศร่วมระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียตในการนำยาน
Apllo เข้าเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศ Soyuz ของโซเวียต มีการจับมือกลางอวกาศ และเซ็นเอกสารเป็นที่ระลึก นักบินชาวอเมริกันและรัสเซียต่างก็ประหลาดใจเมื่อพบว่าทั้งสองฝ่ายใช้นาฬิกาเหมือนๆกันคือ Omega Speedmaster นั่นเอง แสดงว่า Omega รุ่นนี้เป็นที่ยอมรับกันทั้งสองค่าย ส่วนนักบินรัสเซียอีกคนที่ชื่อ Alexandr Polishchuk ก็เลือกใช้ Omega เช่นกันแต่เป็นรุ่น Flight Master ซึ่งเป็นนาฬิกาลูกพี่ลูกน้องของ Speedmaster

ต่อมาช่วงต่อระหว่างโครงการ
Apollo และโครงการ Space Shuttle ได้มีการจัดหานาฬิกาที่จะนำมาใช้ โดยมีการทดสอบแบบเดิม ครั้งนี้มีแรงผลักดันจากรัฐบาลให้นาฬิกาในประเทศอย่าง Bulova ได้เข้าทดสอบด้วย แต่ในที่สุดผู้ที่ชนะในการทดสอบครั้งนี้ก็ยังเป็น Omega เช่นเดิม แต่ในครั้งนี้สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ Omega ได้ใช้เครื่องรุ่นใหม่ Caliber 861 (Based on lemania 1863) เนื่องจากผู้ผลิตเดิมเลิกทำการผลิตเครื่องรุ่น 3210 แล้ว ช่วงหลังๆภารกิจ Space Shuttle ได้มีการปรับบรรยากาศภายในยานให้คนอยู่ได้โดยไม่ต้องสวมชุดอวกาศ และมีการค้นคิดนาฬิกาแบบ Quartz และ computer แบบติดข้อมือซึ่งมีความเสถียรมากขึ้นๆ ทำให้ให้บทบาทของนาฬิกาแบบ Mechanic ลดน้อยถอยลงไป Omega Speedmaster จึงค่อยๆกลายเป็นอุปกรณ์เพื่อ Back up แต่ชื่อเสียงและความยิ่งยงในอดีตก็ยังคงไม่ลืมเลือน มีนักบินอวกาศหลายคนที่ยังเลือกใช้ Omega Speedmaster ในชีวิตประจำวันของตน เพื่อเป็นที่ระลึกถึงภารกิจนอกโลกที่ตนเคยมีส่วนร่วมนั่นเอง

เป็นไงบ้างครับ กับนาฬิกาแบรนด์นี้ ไม่ธรรมดาจริงๆใช่ไหมครับ มันมีความทรงจำที่เป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่และไม่ง่ายเลยครับที่จะผ่านการทดสอบที่สุดโหด ในปัจจุบันยังมีจำหน่ายนะครับสำหรับรุ่น Speedmaster มีอยู่สองรุ่นครับ

1861 หน้าพลาสติก หลังทึบ

1863 มีทั้งหน้าพลาสติกและเซฟไฟส์ แต่หลังจะเป็นแซฟไฟส์เห็นตัวเครื่องสวยงามมาก

ใครถูกใจจับจองกันเป็นเจ้าของได้นะครับ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของตำนานครับ (เว่อร์ไปไหมเนี่ย)

ขอบคุณครับ

มารู้จักคำว่า GMT กันครับ

เราเคยเห็นไหมครับ เวลาเราตั้งเวลาโทรศัพท์มือถือหรือตั้งเวลาในนาฬิกาต่างๆ จะมีคำว่า GMT +7, GMT -2 เป็นต้น เคยสงสัยไหมครับว่ามันคืออะไร วันนี้มีเรื่องราวของคำว่า GMT มาฝากกันครับผม

แนวคิดกำหนดเวลามาตรฐานประจำถิ่นเริ่มมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เพื่อขจัดความสับสนเนื่องจากการจับเวลาตามแสงอาทิตย์ การกำหนดเวลามาตรฐานท้องถิ่นจึงจำเป็นมากขึ้นเมื่อมีการเดินรถไฟขึ้น ในปี 1840 ได้มีการใช้เวลามาตรฐานครั้งแรกในอังกฤษ โดยทั้งประเทศใช้เวลามาตรฐานที่เมืองกรีนีช ต่อมา เซอร์ แซนฟอร์ด เฟรมมิง นักวางแผน และวิศวกรรถไฟชาวแคนาดา ได้เป็นผู้ริเริ่มความคิดที่มีการใช้เวลามาตรฐานไปทั่วโลก

การใช้เวลามาตรฐาน (Standard Time) ของแต่ละประเทศ เทียบกับเวลามาตรฐานโลก (Universal Time Co-ordinated หรือ UTC) นั้นใช้กฎเกณฑ์พื้นฐานที่ได้จากการประชุมนานาชาติ International Prime Meridian Conference ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อ 1 พฤศจิกายน 1884 ตามคำเรียกร้องของประธานาธิบดีเชสเตอร์ เอ. อาเธอร์ แห่งสหรัฐฯ มี 25 ประเทศเข้าร่วมประชุม

ที่ประชุมมีข้อตกลงให้แบ่งโลกตามแนวเส้นแวง (ลองจิจูด) ออกเป็น 24 โซนเท่าๆ กัน แต่ละโซนมีค่า 15 องศา ทั้งในทางทิศตะวันตกและตะวันออก และมีค่าเท่ากับ 1 ชั่วโมงห่างจากโซนที่ติดกัน สำหรับเส้น 0 องศา เรียกว่าเส้นเมริเดียนหลัก (Prime Meridian) กำหนดอยู่ที่หอสังเกตการณ์ด้านดาราศาสตร์ของอังกฤษ ในเขตกรีนิช ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน และมีเส้นแบ่งวัน (International Date Line) อยู่ที่ 180 องศา

สาเหตุที่เลือกเอากรีนิชนั้น ก็สืบเนื่องมาจากสมัยนั้น นักเดินเรือและระวางบรรทุกส่วนใหญ่กำหนดให้กรีนิชเป็นเส้นเมอริเดียนหลักบนแผนที่เดินทางของพวกเขาอยู่แล้ว

ประเทศต่างๆ ได้รับเอาแนวคิดนี้ โดยใช้เส้นแวงที่แบ่งประเทศออกเป็นสองส่วนเป็นตัวกำหนดเวลาว่า เวลามาตรฐานประจำถิ่น เร็วกว่าหรือช้ากว่าเวลามาตรฐานโลกที่เมืองกรีนีชเท่าไร โดยใช้เครื่องหมาย บวก (+) หรือ ลบ (-) เทียบจากเวลาสากลนับจากเมืองกรีนิชนั่นเอง (GMT - Greenwich Mean Time)

อย่างไรตาม เนื่องจากการกำหนดเวลามาตรฐานของแต่ละประเทศนั้นเป็นสิทธิของแต่ประเทศ หลายประเทศมีการเปลี่ยนแปลงเวลามาแล้ว เช่น ประเทศเนปาล ที่เปลี่ยนจาก UTC+5.40 มาเป็น UTC+ 5.45 ล่าสุด จอร์แดนก็เปลี่ยนเวลามาตรฐานของจาก UTC+2 ชั่วโมงมาเป็น UTC+3 ชั่วโมง ในปี 1999 ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงส่วนมากจะมีสาเหตุด้านการพาณิชย์เป็นส่วนใหญ่

สำหรับประเทศไทยกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ เป็นผู้ควบคุมเวลามาตรฐานของประเทศ ไทย และการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเวลาให้เที่ยงตรงในแต่ละปี ก็จะประสานงานกับสถาบันนานาชาติเกี่ยวกับน้ำหนักและการวัดในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบัน ประเทศไทยได้กำหนดเวลามาตรฐานของประเทศเป็น UTC + 7 คือเร็วกว่าเวลามาตรฐานโลก 7 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ประเทศเมืองหนาวทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ยังมีการปรับเวลาในฤดูร้อนและฤดูหนาวด้วย เช่น พอย่างเข้าสู่ฤดูร้อนก็จะปรับเวลาให้เร็วขึ้นอีก 1 ชั่วโมง หรือที่เรียกว่า Daylight Saving Time และพอเข้าสู่ฤดูหนาวก็จะมีการปรับกลับมาเหมือนเดิม เพื่อใช้ประโยชน์จากแสงของดวงอาทิตย์ให้มากที่สุด

นาฬิกาในปัจจุบันมีรุ่นที่มีเข็ม หรือ ไทม์โซนให้ใช้เลย เพื่อความสะดวกในเวลาที่เดินทางไปต่างประเทศ จะได้รู้ถึงเวลาท้องถิ่นและทราบถึงเวลาที่บ้านตนเองด้วย

จะเดินทางไปไหน อย่าลืมตรวจสอบ ไทม์โซนของแต่ละประเทศด้วยนะครับ เพื่อเวลานัดหมายของคุณจะไม่คลาดเคลื่อนครับ

ขอบคุณครับ